top of page
Q : ในฐานะที่นักศึกษาเรียนวิชาชีพครู นักศึกษาคิดว่า ทักษะที่ "ผู้เรียน" ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ควรต้องมีในศตวรรษที่่ 21 มีทักษะอะไรบ้าง
ทักษะที่ผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ควรต้องมีในศตวรรษที่่ 21 คือทักษะที่สามารถเรียนรู้ และมีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน 
อย่างแรกที่ต้องมีคือ 3R คือ Reading-อ่านออก,(W)Riting-เขียนได้, (A)Rithmatic-มีทักษะในการคำนวณ อย่างหลังที่ผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นควรต้องมีคือ 
1.มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแก้ไขปัญหาได้
2.คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดเชิงนวัตกรรม
3.ความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ
4.ทักษะในการสื่อสาร และการรู้เท่าทันสื่อ
5.ความเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรม กระบวนการคิดข้ามวัฒนธรรม
6.ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ และการรู้เท่าทันเทคโนโลยี 
7.ทักษะทางอาชีพ และการเรียนรู้
8.มีคุณธรรม มีเมตตา กรุณา มีระเบียบวินัย 
เพราะเป็นคุณลักษณะพื้นฐานสำคัญของทักษะขั้นต้นทั้งหมด และเป็นคุณลักษณะที่เด็กไทยจำเป็น
Q : จุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้ ตามแนว Bloom มีอะไรบ้าง มีรายละเอียดเป็นอย่างไร
Bloom’s Taxonomy ได้จำแนกการเรียนรู้ตามทฤษฎีของบลูม ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย
ด้านพฤติกรรมทางพุทธิพิสัย 6 ระดับ ได้แก่
1. ความรู้ความจำ 
2. ความเข้าใจเป็นความสามารถในการจับใจความสำคัญของสื่อ
3. การนำความรู้ไปใช้ 
4. การวิเคราะห์ ผู้เรียนสามารถคิด
5. การสังเคราะห์ ความสามารถในการที่ผสมผสานส่วนย่อย ๆ เข้าเป็นเรื่องราวเดียวกันอย่างมีระบบ 
6. การประเมินค่า 

ด้านจิตพิสัย
จะประกอบด้วย พฤติกรรมย่อย ๆ 5 ระดับ ได้แก่
1.การรับรู้ 
2. การตอบสนอง 
3. การเกิดค่านิยม 
4. การจัดระบบ การสร้างแนวคิด จัดระบบของค่านิยมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์
5. บุคลิกภาพ การนำค่านิยมที่ยึดถือมาแสดงพฤติกรรมที่เป็นนิสัยประจำตัว ให้ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามพฤติกรรม

 
ทักษะพิสัย 
ประกอบด้วย พฤติกรรมย่อย ๆ 5 ขั้น ดังนี้ 
1.การรับรู้ เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง
2.กระทำตามแบบ
3.การหาความถูกต้อง พฤติกรรมสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง 
4.การกระทำอย่างต่อเนื่องหลังจากตัดสินใจเลือกรูปแบบที่เป็นของตัวเองจะกระทำตามรูปแบบนั้นอย่างต่อเนื่อง จนปฏิบัติงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง คล่องแคล่ว การที่ผู้เรียนเกิดทักษะได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนและกระทำอย่างสม่ำเสมอ
5.การกระทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ พฤติกรรมที่ได้จากการฝึกอย่างต่อเนื่อง จนสามารถปฏิบัติ ได้คล่องแคล่วว่องไวโดยอัตโนมัติ เป็นไปอย่างธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นความสามารถของการปฏิบัติในระดับสูง
Q : ครูควรออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning อย่างไรบ้าง
กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำ และได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป เป็นการจัดกิจกรรมเรียนรู้ภายใต้สมมติฐาน 2 ประการ คือ การเรียนรู้เป็นความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษย์และแต่ละคนมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันครูควรออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ดังนี้
1.จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน กิจกรรมต้องสะท้อนความต้อครูผู้สอนงการในการพัฒนาผู้เรียนและเน้นการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของผู้เรียน
2.ครูผู้สอนสร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สอนและเพื่อนในชั้นเรียน
3.จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในทุกกิจครูผู้สอนกรรมรวมทั้งกระตุ้นให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
4.ครูผู้สอนจัดสภาพการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน
5.ครูผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทาย และให้โอกาสผู้เรียนได้รับวิธีการสอนที่หลากหลาย
6.ครูผู้สอนวางแผนเกี่ยวกับเวลาในจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของเนื้อหา และกิจกรรม
7.ครูผู้สอนต้องใจกว้าง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิดของผู้เรียนv
Q : แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบ Design thinking คืออะไร มีกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างไรบ้าง
Design Thinking คือ กระบวนการคิดเชิงออกแบบ โดยเป็นกระบวนการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างเป็นระบบ มีกระบวนการจัดการเรียนรู้เป็น 5 ขั้นตอน คือ 1.ทำความเข้าใจ 2.ตีความ 3.ระดมสมอง 4.สร้างต้นแบบ 5.ทดสอบ
และสามารถสรุปเป็นหลักๆ ได้ 3 ขั้นตอนคือ 
1) การเข้าใจปัญหาให้ถูกต้อง 
2) การคิดแบบไม่มีกรอบ 
3) การเรียนรู้ผ่านการทดลองลงมือทำ
Q : ครูควรมีการออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Flipped Classroom อย่างไรบ้าง
ครูควรมีการออกแบบการจัดการเรียนรู้ดังต่อไปนี้
การจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ( Flipped Classroom ) ซึ่งเป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ในการสร้างผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้แบบรอบด้านหรือ Mastery Learning นั้นจะมีองค์ประกอบสาคัญที่เกิดขึ้น 4 องค์ประกอบที่เป็นวัฏจัก หมุนเวียนกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 4 ที่เกิดขึ้นได้แก่ 
1. การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ ( Experiential Engagement ) โดยมีครูผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะวิธีการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อเรียนเนื้อหาโดยอาศัยวิธีการที่หลากหลายทั้งการใช้กิจกรรมที่กาหนดขึ้นเอง เกม สถานการณ์จาลอง สื่อปฏิสัมพันธ์ การทดลอง หรืองานด้านศิลปะแขนงต่างๆ 
2. การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด ( Concept Exploration ) โดยครูผู้สอนเป็นผู้คอยชี้แนะให้กับผู้เรียนจากสื่อหรือกิจกรรมหลายประเภทเช่น สื่อประเภทวิดีโอบันทึกการบรรยาย การใช้สื่อบันทึกเสียงประเภท Podcasts การใช้สื่อ Websites หรือสื่อออนไลน์ Chat
3. การสร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย ( Meaning Making )โดยผู้เรียนเป็นผู้บูรณาการสร้างทักษะองค์ความรู้จากสื่อที่ได้รับจากการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างกระดานความรู้อิเล็กทรอนิกส์การใช้แบบทดสอบ การใช้สื่อสังคมออนไลน์และกระดานสาหรับอภิปรายแบบออนไลน์ 
4. การสาธิตและประยุกต์ใช้ ( Demonstration & Application ) เป็นการสร้างองค์ความรู้โดยผู้เรียนเองในเชิงสร้างสรรค์ โดยการจัดทาเป็นโครงงาน และผ่านกระบวนการนาเสนอผลงานที่เกิดจากการรังสรรค์งาน
Q : ห้องเรียนในศตวรรษที่ 21 ควรมีบรรยากาศเป็นอย่างไร
ห้องเรียนควรมีสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ อากาศถายเทสะดวก ไม่มีสิ่งรบกวนสมาธิหรือดึงดูดความสนใจมากกว่าสิ่งที่อยู่ในห้องเรียน และมีลักษณะเป็นห้องเรียนเปิดกว้าง สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา เพราะตำราหรือความรู้ไม่ได้มีอยู่เฉพาะในหนังสือ ห้องมีความพร้อมสำหรับการจัดการเรียนรู้
Q : ให้นักศึกษานำเสนอวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยเป็นวิธีการจัดการเรียนแบบ Flip Classroom + วิธีสอนที่นักศึกษาเลือก สรุปเป็นขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ของของตนเอง
เป็นวิธีการจัดการเรียนแบบ Flip Classroom + การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ เป็นกระบวนการที่ผู้สอนกำหนดหัวข้อเรื่องปัญหาหรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้คล้ายกับสภาพความเป็นจริง แล้วให้ผู้เรียนสวมบทบาท หรือแสดงบทบาทนั้นตามความรู้สึกนึกคิดและประสบการณ์ของผู้เรียนที่คิดว่าควรจะเป็น ภายหลังของการแสดงบทบาทสมมติจะต้องมีการอภิปรายเกี่ยวกับการแสดงออกทั้งด้านความรู้และพฤติกรรมของผู้แสดงเพื่อการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้
1. ขั้นเตรียมการ ผู้สอนเป็นผู้กำหนดสถานการณ์หรือช่วยกันวิเคราะห์เหตุการณ์หรือประเด็นต่าง ๆ ร่วมกับผู้เรียน แล้วกำหนดผู้แสดงบทบาทหรือประเด็นต่าง ๆ ร่วมกับผู้เรียน ทั้งนี้ส่วนใหญ่การแสดงบทบาทสมมุติจะแสดงทันทีทันใด โดยไม่ต้องมีการฝึกซ้อมมาก่อน โดยผู้สอนเพียงเป็นผู้อธิบายหรือซักซ้อมคร่าว ๆ เท่านั้น บางครั้งการแสดงบทบาทสมมุติ อาจจะใช้วิธีการทันทีทันใดแต่กำหนดหรือเลือกให้แสดงทันทีทันใด ผู้สอนต้องกำหนดผู้สังเกตการณ์และมอบหมายประเด็นที่จะสังเกตการณ์ให้ชัดเจน
2.ขั้นแสดง ให้ผู้เรียนได้แสดงบทบาทตามที่ได้รับมอบหมายหรือเตรียมมาซึ่งบางครั้งก็แสดงทันทีทันใด 
3.ขั้นสรุป เมื่อการแสดงจบลงผู้เรียนควรจะวิเคราะห์ อภิปราย และสรุป ด้วยตัวนักเรียนเอง ทั้งนี้อาจจะมีรูปแบบการอภิปรายตามความเหมาะสม บางครั้งการแสดงบทบาทสมมุติอาจจะต้องแสดงซ้ำเพราะว่าการแสดงในครั้งแรกเร็วเกินไปหรือไม่ชัดเจน
Q : แนวคิดการออกแบบเชิงประสบการณ์เรียนรู้ (Learning Experience Design) คืออะไร มีกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างไรบ้าง
การออกแบบเชิงประสบการณ์เรียนรู้ (Learning Experience Design) เป็นการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจเชิงนามธรรม  มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ คือเน้นให้ผู้เรียนปฏิบัติและเน้นให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นรายกลุ่มหรือรายบุคคล โดยผู้สอนจะจัดสถานการณ์ เพื่อให้ผู้เรียนรู้สามารถที่จะเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างเต็มที่ โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญในการเลือกจัดการเรียนรู้ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ควรมีคือ มีความสำคัญต่อผู้เรียน มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน มีคุณค่าต่อสังคม เป็นสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ ส่งเสริมพัฒนาการทางสังคม และสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของการศึกษาและสังคม
Q : 16 ลักษณะการวางแผนการเรียนการสอนที่ดี นักศึกษามีความคิดเห็นอย่างไร
ความคิดส่วนตัวดิฉันคิดว่าการวางแผนการเรียนการสอนที่ดี 16 ลักษณะ จะเสริมสร้างการเรียนรู้ให้ผู้เรียนจะมีประสิทธิภาพ โดยการที่ผู้สอนวางแผนการเรียนรู้และการดำเนินกิจกรรมต่างๆนั้นได้มีการคำนึงถึงลักษณะของผู้เรียน ตามความแตกต่าง ตามความสารมารถของแต่ละบุคคล ตระหนักถึงการเรียนรู้ที่ดี มีวิธีการสอนและถ่ายทอดหลักการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ให้แก่ผู้เรียน จะสามารถทำให้ผู้เรียนนั้นเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรับความรู้ได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ผู้เรียนนั้น มีความแตกต่างระหว่างบุคคลต่างกันไม่มาก และอีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนนั้นเกิดพัฒนาการที่ดีมากยิ่งขึ้นไปได้อีกด้วย
Q : เรียนที่มหาวิทยาลัยได้ทักษะอะไรกลับบ้านบ้าง และนักศึกษามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับทักษะการเรียนรู้ที่ได้รับ
ทักษะที่ได้จากการเรียนที่มหาวิทยาลัย คือ
1.การเรียนรู้สิ่งใหม่ สิ่งที่ได้พบเจอ ประสบการณ์ใหม่ๆในรั้วมหาวิทยาลัย เช่นการเรียนรู้ในรูปแบบที่แตกต่างกับมัธยม
2.การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทั้งกับเพื่อนสนิทหรือจนกระทั่งเพื่อนต่างคณะ
3.การปรับตัว ทั้งในเรื่องของเวลาและความเป็นอยู่ 
4.การเข้าสังคม การทำงานกลุ่มทั้งกลุ่มเล็กๆจนไปถึงกลุ่มใหญ่ๆ 
6.การหาความรู้ด้วยตัวเอง เสาะหาตลอดเวลา เพราะเรียนสาขาคอมพิวเตอร์ ต้องอยู่กับอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ที่มีมวลความรู้ที่สามารถพกไปไหนมาไหนได้เพียงแค่ค้นหามันให้เจอ
7.การทำงาน ที่หนักกว่าตอนเรียนมัธยม
8.การทำกิจกรรม เป็นการแบ่งเวลามาจากเวลาเรียน และการทำการบ้าน
Q : ครูในศตวรรษที่ 21 ที่ทรงประสิทธิภาพ ควรมีคุณลักษณะที่จำเป็นอย่างไรบ้าง และ
เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในศตวรรษที่ 21 (3Rx8Cx2L)ครูควรมีบทบาทอย่างไรบ้าง
ครูในศตวรรษที่ 21 ที่ทรงประสิทธิภาพ ควรเป็นแบบอย่างในด้านความรู้และการปฏิบัติประพฤติตน มีความรู้ทั้งหมดในด้าน (3Rx8Cx2L) จึงจะสามารถถ่ายทอดความรู้ให้ผู้เรียนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และรู้จริง โดยครูคำนึงถึงหลักความเป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งกาย วาจา ใจ และครูควรจะสามารถสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม วัฒนธรรมเข้าไปในการเรียนการสอนได้จึงจะทำให้ผู้เรียนเต็มรู้ เต็มคน เต็มความสามารถ เต็มศักยภาพและเป็นผลผลิตที่ดีของสังคมและประเทศชาติได้ โดยครูต้องมีคุณธรรมจริยธรรมเป็นแบบอย่าง และมีหลักธรรมาภิบาน มีหลักธรรมต่างๆที่ครูควรยึดถือไว้ก่อน และครูจะต้องเปิดรับสิ่งใหม่ เรียนรู้โลกใบนี้ และเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมรอบตัว อยู่ตลอดเวลาถึงจะสามารถทำให้เป็นครูยุคใหม่อยู่เสมอ
Q : ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ที่ทรงประสิทธิภาพ มีลักษณะอย่างไรบ้าง และ
เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในศตวรรษที่ 21 (3Rx8Cx2L) ผู้เรียนควรมีบทบาทอย่างไรบ้าง
- ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ที่ทรงประสิทธิภาพ
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นให้คนลดการเรียนรู้ทางด้านวิชาการลงแต่ไปเพิ่มการพัฒนาทักษะต่างๆ มากขึ้น
ทั้งด้านทักษะในการใช้ชีวิต ทักษะการคิด และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้(ICT) 3R 8C ที่จะช่วยผลักดันประสิทธิภาพของผู้เรียนในด้านต่างๆ 
ซึ่งสอดคล้องและสัมพันธ์กับสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 จำนวน 5 ด้าน
1. ความสามารถในการสื่อสาร ให้สอดคล้องกับ ICT Literacy
2. ความสามารถในการคิด ให้สอดคล้องกับ Learning Thinking Skills
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับ Life skill
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น สอดคล้องกับ Life skill
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม สอดคล้องกับ ICT Literacy
ดังนั้นการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21(21st Century Content) ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับผู้สอน สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ได้ โดยเฉพาะการใช้ ICT มาใช้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ และการเรียนรู้การใช้ICTควบคู่ไปกับการเรียนรู้ทักษะชีวิตและอื่นๆ ส่วน core subjects นั้นเป็นส่วนของเนื้อหาที่นำมาใช้ในการประกอบอาชีพ จะเป็นส่วนเสริมของสมรรถนะทั้ง 5 ด้านเพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและการศึกษาขั้นสูงต่อไป ดังนั้นวิธีการเรียนรู้จึงเปลี่ยนจากท่องจำเป็นการปฏิบัติและการบูรณาการหลายๆศาสตร์เข้าด้วยกัน
Q : ทักษะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ทำไม(Why)ต้อง 3R x 8C แล้วจะต้องทำอย่างไรให้ผู้เรียนเกิด 3R x 8C
ในปัจจุบันเทคโนโลยีและการศึกษามีการพัฒนาและก้าวหน้าทุกวินาที การเรียนรู้ในห้องเรียนและเรียนรู้แค่ในตำราไม่สามารถครอบคลุมและส่งเสริมการเรียนรู้เท่าที่ควร การเรียนรู้ในศตวรรษที่21 เน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติเพื่อให้เกิดทักษะกับตัวผู้เรียนรวมถึงตัวผู้สอน ทักษะ3rs 8cs 2ls เป็นทักษะที่ผู้เรียนต้องมีเพื่อความเท่าทันต่อโลกโลกาภิวัฒน์
Q : ให้นักศึกษาวิเคราะห์ พฤติกรรมผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ทั้งพฤตกิรรมที่พึงประสงค์ และไม่พึ่งประสงค์ มาอย่างน้อยประเด็นละ 5 ข้อ
กลุ่ม Gen Y พฤติกรรมผู้เรียนม.ต้น
🖊 พฤติกรรมที่พึงประสงค์
- สามารถสืบค้นข้อมูลที่ต้องการจะค้นหาได้
- มีความคิดสร้างสรรค์
- ชอบปรึกษา ทำงานเป็นกลุ่ม เข้าร้วมกิจกรรม
- มีความตั้งใจในการเรียนรู้ มักจะตั้งคำถาม
- ทันต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ(ใช้เป็น) 
🖊 พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
- ติดโทรศัพท์จนเกินไป(สังคมก้มหน้า) 
- ใช้โซเชี่ยลเป็นแต่ไม่ไตร่ตรอง
- โตเกินวัย ได้รับแรงผลักดันจากโซเชี่ยล (สร้างตัวตนในโลกโซเชี่ยล) 
- ไม่ค่อยรู้จักกาละเทศะเท่าที่ควร
- พูดมากและชวนคุยเมื่อครูสอนในห้องเรียน
Q : ทฤษฎีการเรียนรู้ ที่ครูควรได้เรียนรู้ มีอะไรบ้าง แต่ละทฤษฎีการเรียนรู้ มีสาระสำคัญอย่างไรบ้าง
ทฤษฎีการเรียนรู้ 8 ขั้น ของกาเย่ (Gagne)
1.การจูงใจ (Motivation Phase) การคาดหวังของผู้เรียนเป็นแรงจูงใจในการเรียนรู้
2.การรับรู้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Apprehending Phase) ผู้เรียนจะรับรู้สิ่งที่สอดคล้องกับความตั้งใจ
3.การปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้ไว้เป็นความจำ (Acquisition Phase) เพื่อให้เกิดความจำระยะสั้นและระยะยาว
4.ความสามารถในการจำ (Retention Phase)
5.ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว (Recall Phase )
6.การนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว (Generalization Phase)
7.การแสดงออกพฤติกรรมที่เรียนรู้ ( Performance Phase)
8.การแสดงผลการเรียนรู้กลับไปยังผู้เรียน ( Feedback Phase) ผู้เรียนได้รับทราบผลเร็วจะทำให้มีผลดีและประสิทธิภาพสูง

ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบปฏิบัติการ ของ สกินเนอร์ 
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เป็นผลอันเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบปฏิบัติการ ของสกินเนอร์ เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่อธิบายการเรียนรู้ว่าเกิดจากการวางเงื่อนไขของสิ่งเร้าซึ่งผู้เรียน
ต้องลงมือกระทำหรือปฏิบัติเพื่อหาทางแก้ปัญหาจึงจะได้รับผลที่พึงพอใจ ถ้ามีการเรียนรู้เกิดขึ้นจะสังเกตได้ว่ามีการตอบสนองเพิ่มขึ้น เมื่อไม่มีการเรียนรู้อัตราการตอบสนองจะลดลง การเรียนรู้จึงตีความว่าเป็น
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือเทียบได้กับการตอบสนอง

การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ Bloom (Bloom's Taxonomy) Bloom ได้แบ่งการเรียนรู้เป็น 6 ระดับ
1.ความรู้ที่เกิดจากความจำ (knowledge) ซึ่งเป็นระดับล่างสุด
2.ความเข้าใจ (Comprehend)
3.การประยุกต์ (Application)
4การวิเคราะห์ (Analysis) สามารถแก้ปัญหา ตรวจสอบได้
5.การสังเคราะห์ (Synthesis) สามารถนำส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ให้แตกต่างจากรูปเดิม เน้นโครงสร้างใหม่
6..การประเมินค่า (Evaluation) วัดได้ และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด ประกอบการตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่ชัด
Q : AcTive Learning เป็นการเรียนรู้ที่สอดคลอ้งกับทฤษฎีการเรียนรู้ใดบ้าง ทำไมนักศึกษาคิดเช่นนั้น และจงยกตัวอย่างการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning 5 กิจกรรม
วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning
เป็นการเรียนรู้ที่สอดคล้องงกับทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม เป็นกระบวนการเรียนการสอนอย่างหนึ่ง แปลตามตัวก็คือเป็นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ หรือ การลงมือทำซึ่งความรู้ ที่เกิดขึ้นก็เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ กระบวนการในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องได้มีโอกาสลงมือกระทำมากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว ต้องจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้การเรียนรู้โดยการอ่าน, การเขียน, การโต้ตอบ, และการวิเคราะห์ปัญหา อีกทั้งให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์, การสังเคราะห์, และการประเมินค่าโดยกระบวนการเรียนรู้ Active Learning ทำให้ผู้เรียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทนได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้ Passive Learning เพราะกระบวนการเรียนรู้ Active Learning สอดคล้องกับการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ โดยสามารถเก็บและจำสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์ กับเพื่อน ผู้สอน สิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ได้ผ่านการปฏิบัติจริง จะสามารถเก็บจำในระบบความจำระยะยาว ทำให้ผลการเรียนรู้ ยังคงอยู่ได้ในปริมาณที่มากกว่า ระยะยาวกว่า 

 
การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning
1. การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning) 
2. การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) 
3. การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning)
4. การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning)
5. การเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการคิด (Thinking Based Learning)
Q : แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบ Flip Classroom คืออะไร มีกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างไรบ้าง
แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบ Flip Classroom เป็นการจัดการเรียนการสอนที่สวนทางกับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน โดยให้นักเรียนศึกษาความรู้ผ่านอินเตอร์เน็ตนอกห้องเรียน นอกเวลาเรียน ส่วนในห้องเรียนจะเป็นการจัดกิจกรรม นำการบ้านมาทำในห้องเรียนแทน มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ดังนี้คือ 1. ขั้นที่ผู้เรียนจะต้องทำการศึกษาค้นคว้าความรู้มากจากที่บ้านหรือนอกห้องเรียนเพื่อที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาทำกิจกรรมกันในชั้นเรียน
2. ขั้นที่ผู้เรียนและผู้สอนจะร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆที่สอดคล้องกับเรื่องที่ผู้เรียนทำการศึกษาค้นคว้ามาเพื่อเป็นการต่อยอดความรู้ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และเกิดองค์ความรู้ขึ้นกับตนเอง
3. ขั้นตอนที่ผู้เรียนจะต้องนำความรู้ที่ได้รับมาจากการทำกิจกรรมต่างๆในห้องเรียนมาใช้ประโยชน์ เช่นการสรุป การสร้างสรรค์ชิ้นงาน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความเข้าใจและการประยุกต์ใช้ของผู้เรียนว่ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนมากน้อยเพียงใด ทั้งยังเป็นการทบทวนความรู้และเพิ่มความเข้าใจให้กับผู้เรียนอีกด้วย
Q : นักศึกษาความความคิดเห็นอย่างไรกับ คลิปนี้
คลิปนี้พูดเกี่ยวกับการศึกษาในมุมมองแห่งความเป็นจริงที่แตกต่างจากมุมมองที่หลายคนอาจจะไม่เคยคิด มีการเปรียบเทียบว่าปลาก็เหมือนกับเด็กนักเรียนในโรงเรียน ที่ต้องเรียนตามหลักสูตร เรียนตามการศึกษาที่กระทรวงกำหนด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมนุษย์เราอาจจะมีความรู้และความถนัดไม่เท่ากัน และพัฒนาการของบางคนก็เติบโตในด้านที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงพบว่าในแต่ละห้อง หรือในกลุ่มคนจะมีคนเก่ง คนปานกลาง และคนอ่อน แต่ไม่ใช่ว่าคนอ่อนจะไม่เก่งอะไรเลย เขาอาจจะมีความสามารถในทางอื่นและเก่งในด้านใดด้านหนึ่ง การที่ไม่เก่งในด้านนึงไม่ใช่คนโง่ เหมือนกับปลาที่ไม่สามารถปีนต้นไม้ได้ก็ไม่ใช่ปลาที่ไม่มีความสามารถ เพราะปลาว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว การศึกษาบ่งบอกว่าการที่เราจับเด็กที่มีความสามารถแตกต่างกันมาเรียนเรื่องเดียวกัน เรากำลังทำลายอนาคตของเด็กโดยเด็กไม่สามารถเลือกสิ่ง หรือมีโอกาสเลือกน้อยมาก รวมทั้งเป็นการไม่ส่งเสริมเด็กเท่าที่ควร การที่เราจะพัฒนาเด็กได้ อันดับแรกที่ครูทุกคนมีคือการมองเห็นความแตกต่างของเด็ก แต่แล้วไงล่ะ ในเมื่อการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดมาแล้วว่าต้องเรียนอะไร เรียนเท่าไหร่พวกเขาถึงจะผ่านเกณฑ์ ซึ่งคะแนนไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพและความสามารถที่แท้จริงแต่บอกถึงความรับผิดชอบที่เรามีต่างหาก ประเทศล้าหลังเพราะไม่ได้เรียนปฏิบัติเท่าที่ควร เน้นภาคทฤษฎีการท่องจำเนื้อหาและการให้ความรู้แบบในตำรา ประเทศควรเปิดสาขาหลายๆสาขา และควรมีสถาบันทดสอบและวัดความสามารถของผู้เรียนก่อนที่จะให้การศึกษาเฉพาะทางแก่เขาเพื่อนให้พวกเขาได้พัฒนาความสามารถในด้านที่ถนัดได้อย่างเต็มที่ แต่การศึกษาในปัจจุบันก็ไม่ได้แย่เพียงอย่างเดียว ยังมีข้อดีคือการปูพื้นฐานให้กับทุกรายวิชา และการสร้างความรับผิดชอบให้แก่เด็ก แต่มีส่วนแย่มากกว่า การศึกษาที่ดีไม่ได้อยู่ที่ครูมีความรู้มากเพียงใด แต่อยู่ที่ว่าครูจะทำให้เด็กนั้นประสบความสำเร็จและแนะนำพวกเขาให้ถูกวิธีได้อย่างไร ดิฉันเห็นด้วยกับคลิปนี้เป็นอย่างมาก และการที่จะร่วมมือกันพัฒนาการศึกษาให้พ้นจากจุดดดิ่ง ควรได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยจริงจัง ไม่ใช่ทำเพียงเพื่อผ่านไป ตั้งใจที่จะทำให้ผ่านจุดประสงค์ และสามารถนำพาเด็กก้าวสู่โลกใบใหม่ได้
Q : แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบ Flip Classroom คืออะไร มีกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างไรบ้าง
แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบ Flip Classroom เป็นการจัดการเรียนการสอนที่สวนทางกับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน โดยให้นักเรียนศึกษาความรู้ผ่านอินเตอร์เน็ตนอกห้องเรียน นอกเวลาเรียน ส่วนในห้องเรียนจะเป็นการจัดกิจกรรม นำการบ้านมาทำในห้องเรียนแทน มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ดังนี้คือ 1. ขั้นที่ผู้เรียนจะต้องทำการศึกษาค้นคว้าความรู้มากจากที่บ้านหรือนอกห้องเรียนเพื่อที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาทำกิจกรรมกันในชั้นเรียน
2. ขั้นที่ผู้เรียนและผู้สอนจะร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆที่สอดคล้องกับเรื่องที่ผู้เรียนทำการศึกษาค้นคว้ามาเพื่อเป็นการต่อยอดความรู้ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และเกิดองค์ความรู้ขึ้นกับตนเอง
3. ขั้นตอนที่ผู้เรียนจะต้องนำความรู้ที่ได้รับมาจากการทำกิจกรรมต่างๆในห้องเรียนมาใช้ประโยชน์ เช่นการสรุป การสร้างสรรค์ชิ้นงาน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความเข้าใจและการประยุกต์ใช้ของผู้เรียนว่ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนมากน้อยเพียงใด ทั้งยังเป็นการทบทวนความรู้และเพิ่มความเข้าใจให้กับผู้เรียนอีกด้วย
bottom of page